จุดอ่อน..บนจุดแกร่ง ของ "ศุภาลัย"
05 มิ.ย. 2550
อธิป พีชานนท์ กรรมการ และรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย ปัจจุบัน ศุภาลัยมี Backlog จากปี 2549 ทุกโครงการรวมประมาณ 8,080 ล้านบาท และจะเป็นส่วนที่จะมารับรู้เป็นรายได้เฉพาะในปี 2550 ราวๆ 2,995 ล้านบาท และในปี 2551 อีกจำนวน 1,150 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 4,004 ล้านบาท จะไปรับรู้เอาในปี 2552 |
"ศุภาลัย" เตรียมปรับลดเป้ารายได้ จากเดิมที่เคยตั้งไว้ที่ 8,800 ล้านบาท ภายหลังภาพรวมทั้งระบบ หดตัวไปถึง 30% พร้อมรอประเมินสภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอีกครั้ง
จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อบ้านของผู้บริโภค มาถึง "จุดเปลี่ยน" ครั้งสำคัญ ผลพวงจากภาวะการเมือง ราคาน้ำมัน และนโยบายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ทำให้คอนโดมิเนียมในเมือง ราคา 1-3 ล้านบาท ได้รับความนิยมอย่างสูง
"ศุภาลัย" ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำตลาด ที่ลงมาเจาะตลาดในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา
อธิป พีชานนท์ กรรมการ และรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย วิเคราะห์ว่า ตอนนี้กระแสลมได้เปลี่ยนทิศไปแล้ว การตัดสินใจของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนจากการซื้อ "บ้านเดี่ยว" มาเป็น "คอนโดมิเนียม" ระดับปานกลาง ตามแนวรถไฟฟ้า ส่งผลให้ความต้องการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยเฉพาะในแถบชานเมือง มีสัญญาณลดลงอย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้น ทิศทางธุรกิจของศุภาลัยในช่วง 1-2 ปี นับจากนี้ เราก็ต้องพยายามจับทิศทางลม (ความต้องการลูกค้า) ให้ได้ แล้วไปดักรอไว้ก่อน
ประเด็นที่อธิปกังวลตอนนี้ ผู้ประกอบการแทบทุกรายต่างหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม จนเกิดความเสี่ยงในเรื่องที่อุปทานของคอนโดระดับปานกลางในบางทำเล...อาจจะล้นตลาดในอนาคตอันใกล้นี้
ปัจจุบัน ศุภาลัยวางน้ำหนักให้โครงการคอนโดมิเนียมขึ้นมาถึงเกือบ 50% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนวิธีการลดความเสี่ยง อธิปบอกว่า ศุภาลัยพยายามจะกระจายพอร์ตการลงทุนทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม รวมถึงบ้านพักตากอากาศ (ภูเก็ต) และจะไม่ลงไปทำโครงการในทำเลที่มีการแข่งขันสูง หรือไม่ทำซ้ำในทำเลเดิม
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านช่วงครึ่งปี 2550 ศุภาลัยอาจต้องทบทวนเป้าหมายยอดขายบ้านลง จากเดิมที่เคยตั้งไว้ที่ 8,800 ล้านบาท เทียบกับปี 2549 ทั้งปี ที่มีรายได้ 4,694 ล้านบาท
เขาอธิบายเหตุผลในการปรับเป้ารายได้ว่า ภาพรวมของยอดขายทั้งระบบที่หดตัวไปถึง 30% และตัวเลขที่หายไปของศุภาลัยก็ใกล้เคียงกัน จึงต้องรอประเมินภาวะตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอีกครั้งว่า จะยังยืนเป้าเดิม หรือปรับตัวเลขลงมา
ส่วนกรณีที่ราคาหุ้น SPALI เคยทะลุเพดานที่ 4 บาทกว่า ไปเมื่อปลายปี 2549 ก่อนจะปรับลดลงมาแถว 3.30-3.40 บาท เขาชี้แจงว่า ดูแล้ว คงยากที่ราคาจะลงลึกไปกว่านี้ แต่กลับกัน..มันน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น และอาจกลับสู่ระดับเดิมเมื่อปลายปีก่อน ถ้าในปีนี้ ศุภาลัยสามารถเก็บเงินจาก Backlog ได้ตามเป้าหมาย หรือแม้จะหลุดเป้าหมายไปบ้าง การเติบโตของยอดขายก็ยังมีอยู่
"ยิ่งถ้ามองจากฐานะการเงิน เราแข็งแรงมาก เพราะมีหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) แค่ 0.82 เท่า แค่นั้น ขณะที่ พี/อี ของบริษัท (6.85 เท่า) ก็ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการราย.....ด้วยซ้ำไป" อธิปเปิดเผยว่า ปัจจุบัน ศุภาลัยมี Backlog จากปี 2549 ทุกโครงการรวมประมาณ 8,080 ล้านบาท และจะเป็นส่วนที่จะมารับรู้เป็นรายได้เฉพาะในปี 2550 ราวๆ 2,995 ล้านบาท และในปี 2551 อีกจำนวน 1,150 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 4,004 ล้านบาท จะไปรับรู้เอาในปี 2552
โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม "คาซา ริวา" เจริญกรุง ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท (3 อาคาร) จะถือเป็นโครงการไฮไลต์ที่จะเป็นตัว Generate รายได้ในปีนี้อย่างมาก หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท
ทางด้านโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า 33 ชั้น "ศุภาลัยแกรนด์ทาวเวอร์" ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2549 (ถนนพระราม 3 เยื้องธนาคารกรุงศรีฯ) อธิปชี้แจงว่า ตอนนี้ตัวเลขรายได้เริ่มผิดไป จากเดิมบริษัทประเมินว่าจะมีรายได้จากค่าเช่าประมาณปีละ 200 ล้านบาท
แต่ปรากฏว่าตอนที่เราเริ่มเปิดให้เช่า..ภาวะเศรษฐกิจมันชะลอตัวพอดี หลายบริษัทที่เตรียมจะย้ายเข้ามาเช่า จึงเลื่อนแผนออกไปก่อน ขณะที่สำนักงานให้เช่ารายอื่นก็พยายามยึดฐานลูกค้าของตัวเองไว้..ขณะที่เราต้องไปแย่งลูกค้ามาจากอาคารอื่น ทุกอย่างจึงดูยากขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างไร แม้ปีนี้จะมีภาวะด้านลบต่างๆ เกิดขึ้น แต่รายได้ของศุภาลัย ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ด้วย Backlog ที่มีอยู่จำนวนมาก
อธิปกล่าวต่อว่า ในปี 2550 บริษัทยังมีโปรแกรมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 7 โครงการ (เท่ากับปี 2549) คิดรวมมูลค่าโครงการประมาณ 6,170 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ประกอบด้วย โครงการศุภาลัย ภูเก็ตซิตี้ รีสอร์ท (ทาวน์เฮ้าส์-คอนโดมิเนียม) มูลค่า 350 ล้านบาท โครงการ ซิตี้โฮม-ท่าพระ มูลค่า 2,200 ล้านบาท และ ซิตี้โฮม-จรัญสนิทวงศ์ (เฟส 1) มูลค่า 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีโครงการศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ (วงแหวนปิ่นเกล้า-พระราม 5) มูลค่า 1,000 ล้านบาท และศุภาลัย วิลล์ อีก 3 ทำเล รวมมูลค่าโครงการ 1,620 ล้านบาท
โครงการทั้งหมดจะเริ่มทยอยเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป แต่หากสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจยังยืดเยื้อ อาจต้องเลื่อนการเปิดตัวไปเป็นปี 2551 แต่ขณะนี้บริษัทได้ซื้อที่ดินเข้ามาทั้งหมดแล้ว
อธิปอธิบายกลยุทธ์ใหม่ของศุภาลัยว่า โครงการเปิดใหม่โดยส่วนใหญ่ จะเน้นเข้าไปจับกลุ่มลูกค้า "ระดับกลาง" ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงาน เพราะถือเป็นกลุ่มที่จะ Sensitive กับอัตราดอกเบี้ยอย่างมาก
"ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มลดลง คนกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 1% จะช่วยผ่อนคลายภาระค่างวดได้ประมาณ 7-8% โอกาสที่ลูกค้าจะได้รับอนุมัติสินเชื่อจึงมีสูงขึ้น"
รวมถึงโครงการทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ทาวน์เฮ้าส์จะทำหน้าที่เป็นเพียงตัวแทรกในตลาดบ้าน แต่เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ทาวน์เฮ้าส์มีตัวเลขการขายที่ดีมาก ศุภาลัยจึงเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นในปีนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2550